วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 16
วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ.2561
เวลาเรียน 12.30-15.30 น.

***ไปนำเสนองาน งานประกันคุณภาพการศึกษา***
บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 15
วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ.2561
เวลาเรียน 12.30-15.30 น.

   นำเสนอคำคมเกี่ยวกับการบริหาร 
นางสาวภัทรภร ญาติสังกัด
นางสาวศิริวรรณ สุวรรณสาร
..........................................................................................
บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 14
วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ.2561
เวลาเรียน 12.30-15.30 น.

** วันหยุดสงกรานต์ **
บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 13
วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ.2561
เวลาเรียน 12.30-15.30 น.

เนื้อหาที่เรียน
นำเสนอคำคมเกี่ยวกับการบริหาร

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การ์ตูนต่งบล็อค

      การเรียนการสอนเรื่อง กระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตร

                                                            ความหมายการนิเทศ
จุดมุ่งหมายของการนิเทศ
เนื้อหาสาระในการนิเทศ

    สรุปได้ว่า กระบวนการนิเทศการศึกษาเป็นการทำงานอย่างมีแบบแผน  โดยเริ่มจากการวิเคราะห์งานการเรียนการสอนของครู   เพื่อจะได้ทราบปัญหา    ระบุปัญหาที่จะต้องรีบแก้ไขปรับปรุงก่อนหลังแล้วจึงวางแผนที่จะดำเนินการโดยหาทางเลือกที่จะแก้ปัญหาที่ดีที่สุด  ต่อจากนั้นก็ดำเนินการตามแนวขั้นตอนตามลำดับจนถึงขั้นการประเมินผลการปฏิบัติงานแล้วจึงนำผลการปฏิบัติไปปรับปรุงแก้ไขต่อไป


สิ่งที่ได้รับและการนำไปประยุกต์ใช้
  • นำมาเป็นแนวทางในการพัฒนาการเรียนการสอน และการนิเทศที่ถูกต้องเหมาะสมสำหรัับเด็กปฐมวัยต่อไปในอนาคต
การประเมิน
   ประเมินตนเอง : ตั้งใจเรียน แต่งกายเรียบร้อย ทำความเข้าใจในเนื้อหาสาระการสอน
   ประเมินเพื่อน : แต่งกายถูกระเบียบ ไม่คุยเสียงดัง ตั้งใจเรียน 
   ประเมินอาจารย์ : เข้าสอนตรงเวลา แต่งกายสุภาพ สอนเข้าใจง่าย อธิบายละเอียดและเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แสดงความคิดเห็น
   ประเมินห้องเรียน : ห้องเรียนสะอาด บรรยากาศเหมาะสมกับการเรียน โต๊ะเพียงพอต่อจำนวนนักศึกษา
บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 12
วันพุธที่ 29 มีนาคม พ.ศ.2561
เวลาเรียน 7.30-11.00 น.


ศึกษาดูงานศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษ


ประวัติความเป็นมา
    สำนักงานอนามัยกรุงเทพมหานครได้จัดการอบรมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำชุมชนวัดอมรทายิการามขึ้น หลังจากนั้นกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขได้สำรวจปัญหาในชุมชนพบว่า
มีปัญหา ประการ คือ ปัญหายาเสพติด และปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพเด็ก  กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขจึงตัดสินใจเลือกแก้ปัญหาสุขภาพเด็ก
โดยจัดตั้ง ศูนย์รับเลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษา” โดยขอความอนุเคราะห์เรื่องสถานที่จาก
ท่านพระครูวิบูลธรรมภาณ เจ้าอาวาสวัดอมรทายิการาม  เริ่มแรกท่านให้ใช้กุฏิเก่าของท่าน
มีจำนวนเด็ก 40-50 คน มีอาสาสมัครผู้ดูแลเด็ก คน ต่อมากุฏิเก่าเริ่มชำรุดทรุดโทรม
ไม่สามารถซ่อมแซมได้ ท่านเจ้าอาวาสจึงอนุญาตให้สร้างอาคารหลังใหม่ เป็นอาคารชั้นเดียว
โดยมีคณะสงฆ์ ครูและผู้ปกครองร่วมกันก่อสร้าง ได้รับการสนับสนุนทุนสร้าง
จากสำนักงานเขตบางกอกน้อย ผู้ปกครองนักเรียน คณะครู และได้เปลี่ยนชื่อเป็น
ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษา” เปิดเป็นทางการเมื่อวันที่  11 ตุลาคม  พ.ศ. 2527
ในปี พ.ศ.2530 ได้เปิดอย่างเป็นทางการ สภาสตรีแห่งชาติและสภาสังคมสงเคราะห์ได้
ส่งอาสาสมัครเข้ารับการอบรมเสริมทักษะด้านการเลี้ยงดูเด็ก และอาหารเสริม  ต่อมา ได้เข้าสังกัด กองสังคมสงเคราะห์ กรุงเทพมหานคร ได้รับค่าตอบแทนวันละ 40 บาท อาสาสมัครจำนวน คน ในปี พ.ศ.2536 กองพัฒนาชุมชนได้รับช่วงต่อมา  ให้การสนับสนุนโดยขึ้นค่าตอบแทน  80บาทต่อวัน  ทำงานและส่งเสริมพัฒนาอาสาสมัครผู้ดูแลเด็ก ในเรื่องการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เด็กแรกเริ่มอาสาสมัครผู้ดูแลเด็กมีวุฒิการศึกษา ปวช.ม.6, ม.เข้ามาทำงานด้วยใจรักเด็ก ไม่หวังค่าตอบแทน  ต่อมาได้ศึกษาต่อด้วยทุนตนเอง จนจบอนุปริญญา และปริญญาตรี เป็นการศึกษาเพื่อพัฒนาตนเองและนำความรู้ใหม่ ๆ มาสอนเด็ก ส่วนพวกไม่มีทุนเรียนจะได้รับการอบรมในองค์กรต่างๆ  จากนั้นสำนักพัฒนาสังคม กรุงเทพมหานคร ได้สนับสนุนค่าตอบแทน เพิ่มเป็น 5,640 บาทและทำประกันสังคมให้ 
      ปัจจุบันมีนักเรียนอายุ  2 – 6 ปี  จำนวน 400-500 คน มีอาสาสมัครดูแลเด็กจำนวน  35 คน ได้สร้างอาคารเรียนเพิ่มเป็นอาคารเรียนเป็น 3ชั้น  และใช้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2546  จัดกิจกรรมให้นักเรียนได้มีพัฒนาการครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียนการสอน ด้านสภาพแวดล้อมให้เจริญตามลำดับมีอาสาสมัครชาวต่างชาติจาก หน่วยงานCross-Cultural Solutions (CCS) องค์กรอาสาสมัครนานาชาติ จดทะเบียนที่กรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้จัดส่งอาสาสมัครชาวต่างชาติมาช่วยสอนภาษาอังกฤษ ทำให้ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษาเป็นที่รู้จักและทำให้เป็นที่ยอมรับของผู้ปกครอง

โครงสร้างการบริหารศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษ
ภาพกิจกรรมต่างๆ
บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 11
วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ.2561
เวลาเรียน 12.30-15.30 น.
เนื้อหาที่เรียน
นำเสนอคำคมเกี่ยวกับการบริหาร 



นำเสนอการสัมภาษณ์ผู้บริหารสถานศึกษา 

กลุ่มที่ 1 
โรงเรียนวัดไตรรัตนาราม ชื่นชูใจราษฎร์อุทิศ


กลุ่มที่ 2 
โรงเรียนวัดนวลจันทร์ (กลุ่มของฉัน)



กลุ่มที่ 3
โรงเรียนวัดอุทัยธาราม
สิ่งที่ได้รับและการนำไปประยุกต์ใช้
  • นำมาใช้ในการจัดการบริหารสถานศึกษาในอนาคต และประยุกต์ใช้ในการเรียน เพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ต่อไป
การประเมิน
   ประเมินตนเอง : ตั้งใจเรียน แต่งกายเรียบร้อย พยายามทำความเข้าใจในเนื้อหา
   ประเมินเพื่อน : แต่งกายถูกระเบียบ ตั้งใจเรียน มีการเตรียมความพร้อมในการนำเสนองาน
   ประเมินอาจารย์ : เข้าสอนตรงเวลา แต่งกายสุภาพ เป็นกันเอง สอนเข้าใจง่าย และเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แสดงความคิดเห็น
   ประเมินห้องเรียน : ห้องเรียนสะอาด บรรยากาศเหมาะสมกับการเรียน โต๊ะเพียงพอต่อจำนวนนักศึกษา
บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 10
วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ.2561
เวลาเรียน 12.30-15.30 น.
เนื้อหาที่เรียน
นำเสนอคำคมเกี่ยวกับการบริหาร


เทคนิคการเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดีสำหรับการเป็นผู้บริหาร

                                              
ความหมายของบุคลิกภาพ
     ลักษณะทั้งภายนอกและภายในที่รวมอยู่ในตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งและเป็นผลทำให้บุคคลนั้น มีความแตกต่างไปจากบุคคลอื่นๆ บุคลิกภาพแบ่งออกเป็น 2 สภาพ ด้วยกันคือ
  • บุคลิกภาพภายนอก สามารถสังเกตเห็นหรือสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้โดยการฝึกเลียนแบบ และสามารถวัดผลได้ทันที บุคลิกภาพภายนอกที่สำคัญที่สุด คือ บุคลิกภาพทางกายและวาจา
  • บุคลิกภาพภายใน หมายถึง บุคลิกภาพที่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน เป็นส่วนที่สัมผัสได้ค่อนข้างยากและต้องใช้เวลาในการสัมผัส
ประเภทของบุคลิกภาพ
      บุคลิกภาพภายนอก  คือ  สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนจากภายนอกของแต่ละคนสามารถที่จะปรับปรุงแก้ไขได้ง่าย ใช้เวลาไม่นาน แบ่งได้เป็น  4 หมวด คือ
1.  รูปร่างหน้าตา
2.  การแต่งกาย
3.  กิริยาท่าทาง
4.  การพูด
       บุคลิกภาพภายใน  คือ สิ่งที่อยู่ภายในจิตใจ หรืออุปนิสัยใจคอที่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้  แก้ไขได้ยาก  เช่น
    1. ความเชื่อมั่นในตนเอง  
    2. ความกระตือรือร้น
    3. ความรอบรู้  
    4. ความคิดริเริ่ม
    5. ความจริงใจ  
   6. ไหวพริบปฏิภาณ
   7. ความรับผิดชอบ  
   8. ความจำ
   9. อารมณ์ขัน
การมองตัวเองในกระจกเงา

รูปภาพให้แง่คิด
จากรูปคุณมองเห็นน้ำในแก้วเป็นอย่างไร
มีแค่ครึ่ง หรือ มีตั้งครึ่ง
สาเหตุที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพ 
    คือความท้อถอย  บุคลิกภาพที่ไม่สร้างสรรค์และอยู่ภายในตัวตนแล้วทำให้ความเป็นคนๆ นั้นไม่สมบูรณ์ ได้แก่ความท้อถอยแม้ว่าเป็นประโยคสั้นๆ แต่ถ้าอาการนี้ถ้าเกิดขึ้นกับใครแล้ว อาการนี้จะเข้ามาทำลายความสมดุลในตัวเรา เข้ามาแทรกในความรู้สึกนึกคิดทำให้พลังและศักยภาพของเราลดน้อยลงกว่าครึ่ง ในเรื่องความท้อถอยมักเกิดขึ้นกับบุคคลที่อยู่ในช่วงอายุ 20-40 ปี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลในช่วงอายุอื่นจะไม่มีความท้อ บางท่านอาจเกิดอาการท้อเป็นช่วงๆ บางท่านโชคดีไม่รู้จักความท้อ

ความท้อถอยสามารถสังเกตได้จากอาการ 3 ลักษณะ
    1. ลักษณะของความท้อถอยทางด้านอารมณ์ หรือ ความอ่อนล้าทางอารมณ์ ได้แก่ความรู้สึกเบื่อ
หน่าย ความอ่อนล้า หมดเรี่ยวหมดแรง เกิดความเครียด ความคับข้องใจ ไม่สบอารมณ์
    2. ลักษณะของความท้อถอยที่เกิดจากสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น ได้แก่ ลักษณะของบุคคลที่ไม่สนใจใน
พฤติกรรมของใครๆ ไม่ยินดียินร้าย ใครจะทักก็ช่าง ใครไม่ทักก็ช่าง ไม่ใส่ใจพฤติกรรมของคนอื่น มี
เจตคติและแนวคิดที่ไม่ดีต่อคนอื่น มองคนอื่นในแง่ร้าย
   3. ลักษณะของความท้อถอยที่เกิดจากการไม่ประสบความสำเร็จในการทำงานของคนบางท่านอาจจะ
รู้สึกเองว่าตนเองไร้ความสามารถ การทำงานล้มเหลว งานไม่สมกับที่ตั้งใจไว้ บุคคลกลุ่มนี้จะมองคุณค่า
ของตนเองต่ำ

สาเหตุของความท้อถอย
  • ด้านบุคลิกภาพ บุคลิกภาพที่พึ่งพาคนอื่น บุคลิกภาพที่ขาดความอดทน ขาดความอดกลั้น  บุคลิกภาพที่เชื่อมั่นตนเองสูง บุคลิกภาพที่มีความรับรู้ตนเองต่ำ จิตใจไม่มั่นคง ไม่มั่นใจในทุกเรื่อง 
  • ด้านอายุ บุคคลที่มีอายุน้อย ความท้อถอย มีมากกว่าบุคคลที่สูงอายุ ทั้งนี้เพราะความท้อถอยมีความสัมพันธ์กับประสบการณ์ วุฒิภาวะ การรู้จักชีวิตมากขึ้น 
  • ด้านสถานภาพการสมรส ความท้อมักเกิดกับคนโสดมากกว่าคนสมรสแล้ว ความท้อยังสัมพันธ์กับความเหงา คนโสดทั้งหญิงและชาย ถ้าเกิดอาการท้อถอย บุคคลในกลุ่มนี่จะเกิดอาการนานและค่อนข้างรุนแรง 
  • ด้านการปฏิบัติงานในความรับผิดชอบ เริ่มตั้งแต่สองปีแรกของการทำงานบุคคลจะเกิดความท้อได้ง่าย ยิ่งปฏิบัติงานแบบไม่มีใครช่วยใคร บุคคลยิ่งเกิดอาการท้อมากขึ้น 
แนวทางและวิธีการในการแก้ไขอาการท้อถอย
   1. ทุกสิ่งทุกอย่างต้องแก้ไขที่ตัวเราเองเท่านั้น
   2. อย่าเป็นคนตั้งความหวัง ความปรารถนาที่สูงสุดเอื้อม
   3. สร้างเจคติเรื่องงานใหม่ให้ท่านคิดว่า“งานคือชีวิต ชีวิตคืองานบันดาลสุขทำงานให้สนุกเป็นสุขเมื่อทำงาน”
   4. มองหาจุดมุ่งหมายในชีวิตใหม่

ครูกับการพัฒนาตน
   1. การพัฒนาตนเป็นการที่บุคคลพยายามหาวิธีการที่เหมาะสมเพื่อให้ตนเองก้าวไปสู่การเป็นผู้มี
บุคลิกภาพที่สมบูรณ์ ในขอบเขตที่มีความพอเหมาะพอดีกับความสามารถของผู้นั้น และเหมาะสมกับค่า
นิยมของสังคม เพื่อการมีชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข การพัฒนาคนนับเป็นสิ่งสำคัญในอันที่จะนำไปสู่การพัฒนาอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นครู
   2. ครูควรพัฒนาตนเองใน 2 ลักษณะคือ
     1. การพัฒนาตนเองในด้านวิชาชีพ เพื่อการประกอบวิชาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งได้แก่
         - การพัฒนาในด้านความรู้
         - การพัฒนาในด้านเทคโนโลยี
         - การพัฒนาในด้านคุณลักษณะกับเจตคติ
     2. การพัฒนาตนในด้านการเป็นสมาชิกของสังคม เพื่อการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
       - การรู้จักตนเองและการเข้าใจตนเอง
       - การสำรวจตนเอง
       - การปรับปรุงตนเองในด้าน การพัฒนาบุคลิกภาพภายนอก
      - ภายใน การพัฒนาลักษณะนิสัยที่ดี การพัฒนามนุษยสัมพันธ์ การพัฒนาการเรียนรู้
สิ่งที่ได้รับและการนำไปประยุกต์ใช้
  • นำมาประยุกต์และปรับใช้เพื่อพัฒนาการสอน และการบริหารที่เหมาะสมสำหรัับเด็กปฐมวัยต่อไปในอนาคต
การประเมิน
   ประเมินตนเอง : ตั้งใจเรียน แต่งกายเรียบร้อย พยายามทำความเข้าใจในเนื้อหา
   ประเมินเพื่อน : แต่งกายถูกระเบียบ ไม่คุยเสียงดัง ตั้งใจเรียน 
   ประเมินอาจารย์ : เข้าสอนตรงเวลา แต่งกายสุภาพ เป็นกันเอง สอนเข้าใจง่าย และเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แสดงความคิดเห็น
   ประเมินห้องเรียน : ห้องเรียนสะอาด บรรยากาศเหมาะสมกับการเรียน โต๊ะเพียงพอต่อจำนวนนักศึกษา

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 16 วันพุธที่ 25 เมษายน   พ.ศ. 2561 เวลาเรียน 12.30-15.30 น. ***ไปนำเสนองาน งานประกันคุณภาพการศึกษา***